ปริมาณเฟสเฟอร์ไรต์ในรอยเชื่อมสามารถตรวจวัดได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
- ใช้เครื่องมือทางแม่เหล็ก (Magnetic
device)
เฟสเฟอร์ไรต์จะเป็นสารแม่เหล็ก
ขณะที่เฟสออสเทนไนต์ไม่เป็นสารแม่เหล็ก ซึ่งคุณสมบัติในข้อนี้สามารถนำมาใช้เป็นตัววัดปริมาณของเฟสเฟอร์ไรต์ในสเตนเลส
โดยใช้เครื่องมือทางแม่เหล็ก
และเครื่องมือวัดทางแม่เหล็กนี้จะเป็นตัวแสดงปริมาณเฟสเฟอร์ไรต์
(กรรมวิธีเปรียบเทียบแรงแม่เหล็ก) เกจแม่เหล็ก (วิธีวัดฟิลม์แม่เหล็ก)
และเฟอร์ไรต์สโคป (กรรมวิธีเหนี่ยวนำ)
Ferritescope
- ใช้เฟสไดอะแกรม (Phase
diagram)
ค่านิเกิลอีควิวาเลนท์
และโครเมียมอีควิวาเลนท์ ของโลหะจะถูกคำนวณ
และปริมาณของเฟอร์ไรต์จะดูได้จากเฟสไดอะแกรม
และเฟสไดอะแกรมที่นำมาใช้เปรียบเทียบคือ เชฟเลอร์ไดอะแกรม (Schaeffler’s diagram) และเดอร์ลองไดอะแกรม
(Delong’s diagram) ซึ่งข้อแตกต่างระหว่างไดอะแกรมทั้งสอง
คือ เดอร์ลองไดอะแกรมจะนำค่าของไนโตรเจนมาใช้ในการหานิเกิลอีคิววาเลนท์ด้วย
เชฟเลอร์ไดอะแกรม
(Schaeffler’s diagram)
เดอร์ลองไดอะแกรม
(Delong’s diagram)
- วิเคราะห์จากภาพถ่ายด้วยกล้องไมโครสโคป (Microscope)
ปริมาณของเฟสเฟอร์ไรต์จะหาได้จากการวิเคราะห์หาเปอร์เซนต์พื้นที่ของโครงสร้างเฟสออสเทนไนต์กับเฟสเฟอร์ไรต์ในโครงสร้างเกรนของโลหะ
ดังที่กล่าวมา
ปริมาณของเฟสเฟอร์ไรต์สามารถตรวจวัดได้หลายวิธี และค่าที่วัดได้อาจแตกต่างกัน
ดังนั้น
จึงจำเป็นต้องมีความเข้าใจอย่างเพียงพอเกี่ยวกับคุณสมบัติของการวัดในแต่ละวิธี
และควรพิจารณาเลือกใช้ให้เหมาะสมสำหรับการนำไปใช้งานด้วย
ภาพตัวอย่างโครงสร้างที่นำมาวิเคราะห์หาปริมาณเฟสเฟอร์ไรต์ในออสเทนไนต์
สรุป : ปริมาณของเฟสเฟอร์ไรต์มักถูกแสดงในรูปของเปอร์เซนต์
ซึ่งแสดงเลขเฟอร์ไรต์นัมเบอร์ (FN : Ferrite Number) โดยบอกปริมาณเฟสเฟอร์ไรต์เป็นมาตรฐานที่แน่นอน
กรรมวิธีการวัดปริมาณเฟสเฟอร์ไรต์ในรูปของ FN มีสองแบบคือ
- ใช้เครื่องมือทางแม่เหล็ก
- ใช้เฟสไดอะแกรม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น