วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2554

วิธีการดูแลสุขภาพโดยการกิน

บทนำ
         บทความนี้จะขอกล่าวถึงวิธีการดูแลสุขภาพโดยการกิน ซึ่งแนะนำเกี่ยวกับพฤติกรรม และอาหารการกิน ว่าควรมีหลักการเลือกรับประทานและมีวิธีการประพฤติปฏิบัติตัวอย่างไร
          ถ้าเริ่มต้นสนใจดูแล และใส่ใจสุขภาพ ตั้งแต่ตอนนี้ก็ยังไม่สายเกินไป ที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องสุขภาพของตัวท่านเอง ดีกว่าปล่อยให้เวลาผ่านไปแต่ละวันแล้วเกิดการเจ็บป่วย และบางท่านเจ็บป่วยนิดๆ หน่อยๆ ก็คิดว่าไม่เป็นอะไร บางครั้งเจ็บป่วยนานจนเรื้อรัง พออาการหนักทนไม่ไหวก็วิ่งหาหมอเอายามากิน บ้างครั้งก็สายจนเกินแก้ยาหมออาจช่วยอะไรไม่ได้
          ปกติในปัจจุบันประเทศไทยเรามีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นทุกปีไม่ว่าจะเป็น มะเร็ง, เบาหวาน, ความดัน, โรคเก๊าต์, โรคอ้วน โรคประจำตัวอื่นๆ ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งโรคเหล่านี้พอมากในสังคมไทยในปัจจุบัน และอาจเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง เป็นเพราะพฤติกรรมการใช้ชีวิตคนเมืองเปลี่ยนแปลงไป ตื่นเช้ามาก็เร่งรีบไปทำงาน ตกเย็นกว่าจะถึงที่พักก็ดึกดื่น ทำให้พฤติกรรมการกินและรูปแบบของอาหารเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย โดยเน้นอาหารจานด่วนง่ายต่อการรับประทาน ทำให้คุณค่าของอาหารไม่ครบองค์ประกอบทางโภชนาการ มีผลทำให้ร่างกายขาดความสมดุล และก่อให้เกิดโรคภัยตามมามากกมาย อันนี้ยังไม่รวมถึงอาหารที่ปนเปื้อนสารพิษ เช่น เหล้า, บุหรี่ สารเสพติด ฯลฯ
         ผมก็คนหนึ่งที่ต้องทำงานอยู่ภายใต้การปนเปื้อนของสารเคมี และสารไฮโดรคาร์บอน (สารก่อมะเร็ง) ภายในโรงไฟฟ้า และโรงกลั่นน้ำมัน ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเป็นหน้าที่และสายอาชีพที่ต้องทำเพื่อส่วนรวม ซึ่งในทางกลับกัน ผมกลับหันมาดูแลสุขภาพโดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตใหม่หมดทุกอย่างร่วมทั้งอาหารการกินเพื่อดูแลรักษาสุขภาพให้สมดุล โดยย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้วผมก็เป็นอีกคนหนึ่งซึ่งถือว่าเป็นนักดื่มนักเที่ยวและสูบบุหรี่ ตัวยงไม่แพ้ใครๆ เหมือนกัน แต่เพราะหน้าที่การงานและความรับผิดชอบบางประการทำให้ผมต้องหยุดพฤติกรรมเหล่านั้นเสีย หันมาดูแลสุขภาพเพื่อให้ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนต่างๆ  ที่สึกหรอและขับสารเคมีที่สะสมภายในร่างกายออก โดยทำการศึกษา, และเก็บข้อมูล จากหนังสือมากมายจนได้เจอกับหนังสือธรรมะเล่มหนึ่ง ซึ่งมีเนื้อหากล่าวถึงวิธีการดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐาน และต้องการที่จะเผยแผ่สิ่งเหล่านี้ เพื่อเป็นวิทยาทานแด่เพื่อนมนุษย์ทุกๆ คนสืบต่อไป โดยขอเริ่มเรื่องจาก

การไม่ขับถ่ายตอนเช้า จะเกิดอะไรขึ้น ?
      ในช่วงเวลา 5.00-7.00 น. เป็นเวลาของลำไส้ใหญ่ถ้ายังไม่ยอมขับถ่ายอุจจาระ แล้วปล่อยเวลาเลยมาถึง 7.00 -9.00 น. ซึ่งเป็นเวลาของกระเพาะอาหาร แล้วไม่ยอมกินข้าวเช้าอีก อุจจาระจากลำไส้ใหญ่ที่ไม่ขับถ่ายออก จะถูกบีบตัวขึ้นมาจากลำไส้ใหญ่ ผ่านลำไส้เล็กมาที่กระเพาะอาหาร ก็จะถูกดูดซึมซ้ำอีกครั้ง ซึ่งในอุจจาระเก่ามีแก๊สที่เสียแล้ว เกิดจากการบูดเน่าโดยอุณหภูมิของร่างกายที่ความร้อน 37 องศา ตลอดเวลา ไม่เหมือนกับตู้เย็นที่สามารถเก็บอาหารไว้ได้นานกว่า เพราะฉะนั้น แก๊สพิษเหล่านนี้จะถูกดูซึมเข้าไปในกระแสเลือด เลือดจึงไม่สะอาจ และถ้าเลือดที่ไม่สะอาดไหลไปเลี้ยงทุกส่วนของร่างกายไหลผ่าน สมอง หัวใจ ปอด ม้าม ตับ ผิวหนัง ฯลฯ ก็จะได้รับพิษจากแก๊สพิษด้วย และจะมีอาการดังต่อไปนี้
-         ก่อนเที่ยงถึงบ่าย จะมีอาการง่วงนอน เพราะเลือดไม่สะอาดไปเลี่ยงสมอง หัวใจอ่อนล้าไม่สดชื่น
-         มีกลิ่นตัวกลิ่นปาก สาเหตุนี้ก็มาจากเลือดไม่สะอาดไปเลี้ยงปอด ปอดก็จะขับออกทางผิวหนังและลมหายใจ ตัวเองไม่ค่อยได้กลิ่น แต่คนอื่นได้กลิ่น
-         นานๆ ไป เลือดที่ไม่สะอาดไหลผ่านไปเลี้ยงสมอง และไม่กินอาหารมือเช้าช่วงเวลา 7.00-9.00 น. สมองก็จะไม่ได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เมื่อแก่ตัวความจำจะเสื่อมเร็ว
-         ปวดเข่า เมื่ออายุมากขึ้น เป็นริดสีดวงทวาร
วิธีแก้
-         พยายามขับถ่ายระหว่างเวลา 5.00-7.00 น. ถ้าไม่ขับถ่ายให้กินขมิ้นเป็นประจำเพื่อบริหารลำไส้ใหญ่ (แนะนำขมิ้นชนิดแคปซูน มีขายตามร้านขายยาทั่วไป เหมาะสำหรับคนไม่ชอบกินขมิ้นสด)
ควรกินข้าวเช้าทุกวัน ระหว่าง 7.00-9.00 น. (รถยนต์ยังต้องเติมน้ำมันถึงจะวิ่งได้คนก็เหมือนกันต้องกินข้าวเช้าร่างกายจะได้มีแรงขับเคลื่อน กินข้าวเช้าไม่อ้วนแน่นอน)

ความสำคัญของอาหารมื้อเช้า
    การไม่กินอาหารเช้า เป็นสาเหตุพื้นฐานที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วยที่เรามองข้ามไป คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เคยปฏิบัติอยู่เป็นประจำไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย
    อาหารมื้อเช้า เป็นอาหารมื้อที่สำคัญที่สุด ที่ร่างกายต้องการสารอาหารในช่วงเวลา 7.00-9.00 น. ระหว่างเวลานี้สมองและใบหน้าของคนเราต้องการเลือดและออกซิเจนเป็นอาหารบำรุงส่งไปเลี้ยงสมอง ถ้าไม่กินข้าวเช้า ก็จะไม่มีเลือดมารับออกซิเจนส่งขึ้นไปเลี้ยงสมอง เพราะสมองต้องการ กรดอะมิโนไปบำรุงเซลล์สมอง รวมถึงวิตามินบี 1 และบี 12 มื้อเช้าถ้าไม่มีเวลาจริงๆ ก็ควรกิน สูตรนี้เลย โยเกิร์ต + นมสด + น้ำผึ้ง + มะนาว และกล้วย 1 ลูก
สาเหตุที่เลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อย
-         กระดูกคอข้อที่หนึ่ง เคลื่อนไปเบียดทับเส้นประสาท หรือ เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง
-         กินอาหารที่ผัดน้ำมันบ่อยเป็นเวลานาน แล้วไขมันเกาะตัวเหนียวสะสมในลำไส้ ก็มีโอกาสที่เลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อย เพราะระบบดูดซึมเสีย และถุงน้ำดีข้น
-         มีพยาธิในลำไส้ พยาธิที่ผิวหนังจะกัดกินเลือดในร่างกาย
-         การไม่กินอาหารเช้าก็เป็นสาเหตุให้เลือดไม่เลี้ยงสมอง
ถ้าเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ หรือเลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อย จะเริ่มมีอาการดังนี้ เช่น ผมร่วง หน้าแก่เร็ว คออักเสบง่าย นอนไม่ค่อยหลับ นอนไม่เต็มอิ่ม ฝันบ่อย ปวดไหล่ ตื่นกลางดึกบ่ายๆ ปวดหัวข้างเดียว ปวดหัวสองข้าง ปวดหู ปวดกระบอกตา เป็นไซนัส เหงือกบวม เจ็บคอ เจ็บลิ้น ปวดชายโครง ปวดหลัง ปวดเข่า กระดูกสะโพกจะเคลื่อนได้ง่าย ปวดสะโพก ปวดข้อเท้า หลังเท้า วิตกกังวล อาจมีอาการที่ละอย่าง หรือ หลายอย่างพร้อมกัน
      สมองส่วนหน้า สมองส่วนกลาง สมองส่วนหลัง อยู่กันคนละส่วน แต่มีเซลล์ประสาทกลุ่มเดียวกันที่ควบคุมการไหลเวียนของเลือดทั้งสามส่วน
เลือดไปเลี้ยงสมองส่วนหน้าได้น้อย
      จะก่อให้เกิดหินปูนเกาะที่สมองส่วนหน้า แล้วจะมีอาการนอนไม่ค่อยหลับ เป็นเหตุให้ ตาเป็นต้อ จอประสาทตาเริ่มเสื่อม ปัสสาวะบ่อย เป็นฝ้า หน้าดำ
ความสำคัญของอาหารมื้อเช้า
    การไม่กินอาหารเช้า เป็นสาเหตุพื้นฐานที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วยที่เรามองข้ามไป คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เคยปฏิบัติอยู่เป็นประจำไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย
    อาหารมื้อเช้า เป็นอาหารมื้อที่สำคัญที่สุด ที่ร่างกายต้องการสารอาหารในช่วงเวลา 7.00-9.00 น. ระหว่างเวลานี้สมองและใบหน้าของคนเราต้องการเลือดและออกซิเจนเป็นอาหารบำรุงส่งไปเลี้ยงสมอง ถ้าไม่กินข้าวเช้า ก็จะไม่มีเลือดมารับออกซิเจนส่งขึ้นไปเลี้ยงสมอง เพราะสมองต้องการ กรดอะมิโนไปบำรุงเซลล์สมอง รวมถึงวิตามินบี 1 และบี 12 มื้อเช้าถ้าไม่มีเวลาจริงๆ ก็ควรกิน สูตรนี้เลย โยเกิร์ต + นมสด + น้ำผึ้ง + มะนาว และกล้วย 1 ลูก
สาเหตุที่เลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อย
-         กระดูกคอข้อที่หนึ่ง เคลื่อนไปเบียดทับเส้นประสาท หรือ เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง
-         กินอาหารที่ผัดน้ำมันบ่อยเป็นเวลานาน แล้วไขมันเกาะตัวเหนียวสะสมในลำไส้ ก็มีโอกาสที่เลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อย เพราะระบบดูดซึมเสีย และถุงน้ำดีข้น
-         มีพยาธิในลำไส้ พยาธิที่ผิวหนังจะกัดกินเลือดในร่างกาย
-         การไม่กินอาหารเช้าก็เป็นสาเหตุให้เลือดไม่เลี้ยงสมอง
ถ้าเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ หรือเลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อย จะเริ่มมีอาการดังนี้ เช่น ผมร่วง หน้าแก่เร็ว คออักเสบง่าย นอนไม่ค่อยหลับ นอนไม่เต็มอิ่ม ฝันบ่อย ปวดไหล่ ตื่นกลางดึกบ่ายๆ ปวดหัวข้างเดียว ปวดหัวสองข้าง ปวดหู ปวดกระบอกตา เป็นไซนัส เหงือกบวม เจ็บคอ เจ็บลิ้น ปวดชายโครง ปวดหลัง ปวดเข่า กระดูกสะโพกจะเคลื่อนได้ง่าย ปวดสะโพก ปวดข้อเท้า หลังเท้า วิตกกังวล อาจมีอาการที่ละอย่าง หรือ หลายอย่างพร้อมกัน
      สมองส่วนหน้า สมองส่วนกลาง สมองส่วนหลัง อยู่กันคนละส่วน แต่มีเซลล์ประสาทกลุ่มเดียวกันที่ควบคุมการไหลเวียนของเลือดทั้งสามส่วน
เลือดไปเลี้ยงสมองส่วนหน้าได้น้อย
      จะก่อให้เกิดหินปูนเกาะที่สมองส่วนหน้า แล้วจะมีอาการนอนไม่ค่อยหลับ เป็นเหตุให้ ตาเป็นต้อ จอประสาทตาเริ่มเสื่อม ปัสสาวะบ่อย เป็นฝ้า หน้าดำ
วิธีกดนิ้วเพื่อให้เลือดเลี้ยงสมอง ป้องกันสมองเสื่อม
ใช้นิ้วโป้ง กดที่ นิ้วชี้            2 ครั้ง
ใช้นิ้วโป้ง กดที่ นิ้วกลาง       1 ครั้ง
ใช้นิ้วโป้ง กดที่นิ้วนาง          3 ครั้ง
ใช้นิ้วโป้ง กดที่นิ้วก้อย         4 ครั้ง
แล้วทำกลับ โดยมากดที่นิ้วนาง 3 ครั้ง กดที่นิ้วกลาง 1 ครั้ง กดที่นิ้วชี้ 2 ครั้ง
เป็นการจบเท่ากับ 1 ชุดพอเริ่มชุดที่ 2 ให้กดนิ้วกลาง 1 ครั้ง ต่อไปเลย ทำอย่างนี้ให้ได้ 50 ชุดต่อวันทั้งสองข้างก็จะดี
     ความสัมพันธ์ของสมองกับปลายนิ้วมือ จะเกิดพลังครบวงจรของเขาเอง เป็นการกระตุ้นให้หลั่งสาร เอนโดรฟิน
     ฝึกการหายใจเข้าอย่างช้าๆ ให้พุงป่องออก แล้วหายใจออกให้พุงยุบลง (หายใจลึกๆ) เป็นการไปกระตุ้นเซลล์สมอง ที่คุมโปรแกรมความจำที่ดีงามในอดีต หรือปัจจุบัน และเป็นการเพิ่มออกซิเจนให้ปอดและสมอง
     ในทางตรงกันข้าม ถ้าหายใจถี่ๆ ตื้นๆ เร็วๆ จะเป็นการกระตุ้นเซลล์ สมองกลุ่มที่บันทึกเรื่องไม่ดีเอาไว้ให้ออกมาใช้งาน จึงควรฝึกหายใจช้าๆ เพื่อกระตุ้นเซลล์สมองกลุ่มที่บันทึกเรื่องดีๆ ออกมาใช้งาน เป็นวิธีป้องกันสมองเสื่อมได้อีกวิธีหนึ่ง
อันตรายจากอาหารผัดน้ำมัน
   ว่างๆ ท่านลองพิจารณาก้นกระทะและรอบๆ เตาแก๊ส หรือท่อน้ำทิ้งเล่นๆ ดูซิครับ จะสังเกตได้ว่ามีคราบเหนียวของน้ำมันเกาะอยู่ เราก็สามารถล้างมันออกได้ แต่ถ้าเรารับประทานอาหารผัดมันซึ่งมีส่วนผสมของน้ำมันเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายเป็นประจำ น้ำมันที่เข้าสู่ร่างกายที่อุณหภูมิของร่างกาย นำมันจะเหนียวและยึดเกาะที่ผนังลำไส้ เป็นเวลานานและสะสมตัวมากขึ้น ไปขัดขวางระบบดูดซึม จนทำให้ระบบดูดซึมเสีย ลำไส้จะดูดซึมสารอาหารที่เป็นประโยชน์ไปสร้างเม็ดเลือดไม่ได้ กินยา หรือวิตามินก็ไม่ดูดซึม เพราะผ่านชั้นชั้นไขมันที่ผนังลำไส้ไปไม่ได้ หรือผ่านได้น้อย ซึ่งต่างจากการให้น้ำเกลือโดยฉีดเข้าเส้นเลือดโดยไม่ต้องผ่านระบบดูดซึม แต่คนปกติที่ไหนละจะให้น้ำเกลือผ่านเส้นเลือดได้ทุกวัน
   เมื่อระบบดูดซึมไม่ดี พวกสารอาหารและโปรตีน จะถูกส่งไปให้ไตขับทิ้งไตก็ต้องทำงานหนัก และอ่อนล้าเป็นธรรมดาผลที่ตามมาคือความเจ็บป่วย การเกิดโรคต่างๆ
    ทุกคนเคยกินอาหารผัดน้ำมัน หรือของทอดน้ำมันบ่อยๆ ทุกวัน ควรจะต้องล้างลำไส้เพื่อให้ระบบดูดซึมทำงานได้ดีขึ้น
    การไม่ล้างลำไส้ ก็เปรียบเสมือนการกินข้าว แล้วไม่ล้างจาน มื้อต่อไปก็ใช้จานใบเก่าใส่ข้าวกินใหม่
สูตรล้างระบบดูดซึม
1.     มะละกอดิบต้มชงชา (ชามะละกอ)
วิธีรทำ : ใช้มะละกอดิบปอกเปลือกมาหั่นแบบชิ้นฟักใส่หม้อ เติมน้ำสะอาด ต้มให้เดือดแล้วยกลง เอาเฉพาะน้ำมาชงชา ใช้ชาจีน หรือชาเขียว หรือชาใบหม่อน ก็ได้ ควรแช่ชาไม่เกิน 5 นาที แล้วกรองชาออก สูตรนี้จะช่วยล้างไขมันที่เกาะลำไส้ได้ดี ควรดื่มเป็นประจำทุกวัน เพราะเรากินอาหารผัดมันทุกวัน มาหลายปี
2.     โยเกิร์ต + นมสด + น้ำผึ้ง + มะนาว
วิธีการทำ : นมสด 1 กล่อง เทใส่แก้ว เติมโยเกิตรสธรรมชาติ ครึ่งถ้วยของโยเกิต เติมน้ำผึ้งและมะนาว  ชิมรสชาติตามชอบ แล้วตั้งทิ้วไว้สักพักประมาณ 15 นาที เพื่อให้จุลินทรีย์ขยายตัวแล้วกินความหวานของน้ำผึ้งและช่วยย่อยไขมันของนมก่อน แล้วจึงค่อยดื่ม จะช่วยล้างลำไส้เล็กได้ดี (ถ้าดื่มช่วงเวลา 13.00 15.00 น. จะได้ผลดีมาก เพราะจะช่วยกำจัดและปรับสภาพของเศษอาหารหลังมือเที่ยงเป็น วิตามิน บี12  ส่งไปเลี้ยงสมองอีกทอดหนึ่ง)
3.     รากหญ้าคา เก๋ากี๊(สมุนไพรจีน) เก็กฮวย ดอกมะลิ ดอกกุหลาบ ตะไคร้หอม ต้มรวมกันกันแต่น้ำ เป็นสูตรล้างลำไส้ดีที่สุด
4.     บอระเพ็ด ยาว 1 เกียก (1 ข้อนิ้ว) เติมน้ำ 2 แก้ว แล้วต้มดื่มกินน้ำ ก็ช่วยล้างลำไส้ได้
โรคไต
    เกิดมาจากระบบดูดซึมไม่ดี ทำให้อาหารที่กินเข้าไปแล้วดูดซึมไม่ได้ก็จะถูกไปให้ไตขับทิ้ง ทำให้ไตทำงานหนักกว่าปกติ
ขอเริ่มต้นระบบที่ลำไส้เล็ก
    - ลำไส้เล็กต้องดูดซึมกลุ่มสารอาหารที่จะไปสร้างกรดอะมิโนเพื่อไปสร้างเซลล์ใหม่ในร่างกาย เช่น เซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์ประสาท เซลล์กระดูก ได้แก่ โปรตีน วิตามิน ซีและ
บี 1, บี 3, บี 6
-         ลำไส้ใหญ่ต้องดูดซึมกลุ่มสารอาหารที่จะไปสร้างเม็ดเลือดเพื่อไปสร้างภูมิคุ้มกัน ได้แก่ วิตามิน เอ , ซี, อี
-         ถ้าลำไส้เล็กดูดซึมไม่หมด ก็จะส่งไปให้ไต
ไต มีหน้าที่กรองเลือกว่าเม็ดไหนหมดอายุแล้ว ก็กรองออกไปเม็ดเลือดที่ยังไม่หมดอายุก็ส่งคืนกลับไป และอื่นๆ อีกมากมาย และสภาวะที่ทำให้ไตต้องทำงานหนัก คือ
-         กินอาหารรสจัด
-         กินอาหารผัดน้ำมันเป็นประจำ
-         กินเนื้อสัตว์ แล้วไม่มีวิตามิน ซี, บี 1, บี 3, บี 6 (ซึ่งหากินได้จากน้ำกระชาย) มาช่วยเปลี่ยนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่มากเกินไปเป็นกรดอะมิโนซึ่งจะมีประโยชน์ต่อร่างกาย
-         พฤติกรรมความกลัว ขี้ตกใจ ชอบข่มขู่คนอื่น ถ้าเป็นเช่นนี้ร่างกายจะผลิตไขมันขึ้นมาเอง จะเป็นไขมันฝ่ายร้าย ถ้าอารมณ์ดีก็จะเป็นไขมันฝ่ายดี (ถ้าดูแลปอดดี ไตก็แข็งแรง เมื่อไตแข็งแรง กระดูกก็แข็งแรงด้วย)
วิธีดูแลไต
-         รู้ว่าเป็นโรคไตแล้ว ควรให้หมอรักษาดีที่สุด
-         งดอาหารผัดน้ำมัน
-         ล้างลำไส้ หรือระบบดูดซึม เป็นประจำด้วยสูตร
1. มะละกอดิบต้มน้ำ เอามาชงชา (ดื่มกิน)
2. โยเกิร์ต + นมสด + น้ำผึ้ง + มะนาว (ดื่มกิน)
3. ใช้เห็ดสามอย่าง นำมาปรุงอาหาร (ห้ามผัดน้ำมัน)
อาหารบำรุงไต
น้ำกระชาย เม็ดบัว เห็ดหูหนูดำ ลูกเกด องุ่นดำ ถั่วดำ งาดำ ลูกแปะก๊วย กล้วยตาก ลูกสำรอง เฉาก๊วย แก้วมังกร ถั่วห้าสี ผักดอง ผลไม้ดอง
สูตรละลายนิ่วในไต
-         กินแกนสับปะรดวันละ 3 แกน หรือจะปั่นกิน คู่กับใบโหระพาก็ได้ กินจนหายปวดหลัง (รู้สึกเอง)
-         เหล้าขาว 1 เป๊ก เติมมะนาว 1 ลูก กินก่อนนอน 10 ถึง 20 วันแล้วหยุดกิน
สูตรล้างไต
-         รากหมาก รากมะพร้าว รากตาล ลูกใต้ใบ ต้มรวมกันแล้วดื่ม
ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด ใบมะนาว กระชาย หอมแดง ใบสะระแหน่ อย่างละ 1 กำมือ ใส่ในหม้อดิน เติมน้ำให้ท่วม ต้มให้เดือดแล้วยกลง รอให้เย็น กินให้หมดภายใน 1 วัน

 ถุงน้ำดีข้น
เพราะมีไขมันเกาะติดอยู่ที่ผนังลำไส้เล็ก ที่เกิดจากการกินอาหารผัดน้ำมันเป็นประจำ เมื่อมีไขมันมาขวางการดูดซึมของน้ำ การย่อยจะไม่ปกติ จึงดึงน้ำย่อยจากถุงน้ำดีมาใช้งาน ซึ่งถุงน้ำดีเป็นถุงสำรอง เก็บน้ำย่อยที่ออกมาจากตับ การดึงน้ำดีมาใช้งานมากขึ้น ทำให้ถุงน้ำดีข้น และถ้ากินน้ำน้อยก็ทำให้ถุงน้ำดีข้น ในร่างกายของคนเรา ต้องมีน้ำเป็นองค์ประกอบถึง 70 % เมื่อดูดซึมน้ำไม่ได้ แล้วยังถูกขับออกมาทางปัสสาวะ  ผิวหนัง เหงื่อ น้ำตา และเซลล์ทุกส่วนของร่างกาย จึงขาดน้ำไปหล่อเลี้ยง ตัวเซลล์จะมีอายุสั้นลงผิวพรรณก็ไม่ผุดผ่อง คนที่มีถุงน้ำดีข้น ที่เกิดจากลำไส้เล็กมีไขมันอุดตัน จะมีอาการดังนี้ ปวดหัวข้างเดียว ปวดหัวสองข้าง น้ำในหูไม่เท่ากัน เพราะเลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อย นอนไม่ค่อยหลับ ตาเหลือง กินได้น้อย ปวดหลัง ปวดสะโพก ปวดน่อง ตาฝ้าฝาง ตาเป็นต้อ เหงือกบวม ปวดเข่า ขาไม่มีแรง เมื่อถุงน้ำดีข้นมากอาจเป็นนิ้วในถุงน้ำดี ควรล้างระบบดูดซึม บ่ายๆ ด้วยสูตร โยเกิร์ต + นมสด + น้ำผึ้ง + มะนาว (ดื่มกิน)
วิธีดูแลถุงน้ำดี
-         งดอาหารผัดน้ำมัน
-         ดื่มน้ำครั้งละน้อยๆ แต่ดื่มบ่อยๆ
-         ไม่เครียดไม่อดนอน
-         กินดีบัว (ไส้ในของเม็ดบัว) แบบตากแห้ง ต้มกินน้ำ ช่วยบำรุงถุงน้ำดี
กินลูกเกด (องุ่นตากแห้ง)

ตับ
      หน้าที่หลักของตับคือ ผลิตน้ำดีให้ถุงน้ำดี ช่วยกรองเลือด ส่งเลือดดีเข้าสู่ร่างกาย และส่งเลือดไปที่ไต ล้างสารพิษ และตับมีส่วนช่วยระบบย่อยอาหาร ดูแลเส้นผม ขน เล็บ ถ้าตับทำงานหนัก ไตก็มาช่วยทำงาน และเมื่อทั้งคู่ทำงานหนัก ตับก็จะเสีย ไตก็จะเสื่อม
      ตับทำงานหนักเพราะกินบ่อย กินผิดเวลา มื้อที่ตับรอคือ มื้อเช้า ถ้าไม่กินอาหารมื้อเช้า ระหว่างเวลา 7.00 -9.00 น. แต่ไปกินเอาเวลาตับเลิกทำงานแล้ว คือหลังจาก เวลา 9..00 น. ตับจะทำงานผิดเวลา กลายเป็นว่าตับต้องทำงานหนักขึ้น หรือกินจุบจิบทั้งวัน หรือแม้แต่การกินอาหารแล้วเข้านอนทันที โดยเฉพาะเวลา 1.00-3.00 น. ร่างกายต้องนอนหลับสนิทและเป็นเวลาของตับ จะต้องขับสารพิษออกจากร่างกาย ก็ไม่ควรกินอาหารในเวลานี้ ถ้าจะกินก็ควรจะให้เลย 3.00 น. ไปแล้ว
     ถึงแม้ไม่ได้กินอะไรจุบจิบ ตับก็ต้องรับอารมณ์โกรธ โมโห อิจฉา หรือเครียด เมื่อมีอารมณ์เหล่นนี้ เซลล์ในตับก็จะตายไปเป็นจำนวนมาก ทำให้ตับเสื่อมเร็วขึ้น และการเพิ่มภาระให้แก่ตับอีกอย่างก็คือ การโกรกสีผม ทาเล็บ ใช้ยาสระผม ทาปากด้วยเครื่องสำอางที่มีสารเคมีเจือปน สารเคมีจะส่งผลถึงตับโดยตรงแล้วสะสมอยู่เป็นเวลานาน พอตับมีปัญหา ขอบใต้ตาจะดำ อาหารไม่ค่อยย่อย ท้องจะอืด ลมแน่นท้อง เลือดไม่ไปเลี้ยงกระดูกเชิงกราน มดลูกเริ่มโต เจ็บตึงที่ส้นเท้า ผู้ชายก็เป็นต่อมลูกหมากโตได้เหมือนกัน
วิธีล้างพิษในตับ
-         กินเห็ดสามอย่างผสมกัน เช่น เห็ดหูหนูดำ เห็ดหูหนูขาว เห็ดเข็มทอง เห็ดหอม เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า เห็ดโคน ล้างให้สะอาจ แล้วเลือกเห็ดมา 3 อย่าง ใส่รวมกันแล้วปรุงเป็นอาหารจะยำหรือจะผัด (ห้ามผัดน้ำมัน แต่ใช้กะทิแทนน้ำมันได้) หรือจะต้มเป็นน้ำแล้วดื่มก็ได้
-         กินขมิ้นจะแบบสดหรือเป็นแคปซูน ก็แล้วแต่ ก่อนนอน ไม่จำกัดจำนวน
ถึงจะกินอาหารบำรุงร้างกายดีแค่และมีราคาแพงแค่ไหน แต่ถ้าระบบดูดซึมไม่ดี และมีสารพิษตกค้างอยู่ในร่างกาย ก็ไม่เกิดประโยชน์  

ไรฝุ่น
    ในอากาศจะมีละอองฝุ่น ละอองฝุ่นเกาะติดอยู่เป็นจำนวนมากลอยตัวอยู่ในอากาศทั่วไป ล่องลอยมาเกาะติดที่ไหนของร่างกายหรือเสื้อผ้าที่สวมใส่ในห้องนอน ในรถ เมื่อเราหายใจก็ติดละออง และไรฝุ่นติดเข้ามาด้วยหรือติดที่ใบหน้า ตัวไรฝุ่นก็จะอาศัยอยู่แล้วกัดกินฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (เป็นฮอร์โมนที่ร่างกายผลิตขึ้นในตอนกลางคืนมีส่วนช่วยให้นอนหลับสนิทและพบมากในอาหารทะเล เช่น กุ้ง  ปลา  และหอย  รวมทั้งตับ  เนื้อวัว  ผักสีเขียวเข้ม  และผลไม้  เช่น แตงโม  เมล็ดทานตะวัน) ที่รูขุมขนและผิวหนัง หรือในโพรงจมูก ในรูหูเมื่อไรฝุ่นกินแล้วก็ต้องขับถ่ายทิ้งไว้ตรงบริเวณที่ไรฝุ่นอาศัยอยู่เกิดเป็นเชื้อราอักเสบได้ง่าย ถ้าเกิดที่ใบหน้าจะเป็นสิว ถ้าเกิดกับหนังศรีษะ ก็จะเป็นเชื้อราที่หนังศรีษะ ไรฝุ่นจะกินทั้งเลือดและน้ำเหลืองด้วย
วิธีขับไล่ไรฝุ่น
-         กินขมิ้นแคปซูนก่อนนอนเป็นประจำ
-         กินน้ำมะพร้าววันละ 1 ลูก (ไม่ต้องกินเนื้อมะพร้าว) เพื่อเพิ่มแอสโตรเจน (ฮอร์โมนสำคัญของเพศหญิง  ทำให้เกิดความอ่อนหวาน ผิวพรรณเนียนนุ่ม มีเต้านม เตรียมพร้อมเป็นแม่ เอสโตรเจนมีผลต่ออวัยวะภายในของเราทุกระบบ)
-         ใช้โลชั่นน้ำมะเฟืองชโลมผิวกายเพื่อขับไล่ไรฝุ่น และยังช่วยลบรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า ให้หายไปทีละน้อย
โรคมะเร็ง
    เกิดจากร่างกายได้รับสารเคมีที่ปนอยู่ในอาหารหรือเกิดจากเชื้อราอัลฟลาทอกซิน (คือสารพิษที่เชื้อรา Aspergillus flavus สร้างขึ้นเมื่อมีอาหารและสภาพแวดล้อมเหมาะสม ซึ่งก่อให้เกิดความเจ็บป่วยในคนและสัตว์ที่บริโภคหรือได้รับสารนั้น) พบมาก ในถั่วลิสงป่น พริกป่น งาดำป่น ที้งไว้ในสภาพอากาศปกติเกิด 20 นาที จะเกิดเชื้อราอัลฟราทอกซิน เข้าไปยึดพื้นที่ และอาหารที่เป็นเนื้อรมควัน หรือย่างจนไหม้เกรียม  และสารกันบูด
   เกิดจากฮอร์โมนเพศทั้งชายแหละหญิง ทีมีอยู่ในร่างกายทุกๆ คนไม่สัมพันธ์กัน คือ มีมากไป บ้างก็มีน้อยไป (แล้วจะทำยังไงถึงจะให้สมดุลกันละ ? น้ำกระชายช่วยท่านได้ครับ) หรือเซลล์มะเร็งเกิดขึ้นเองได้จากความเครียดสะสม ทำให้เซลล์ฝ่ายดีในร่างกายเสื่อม และตายเร็วขึ้น และเซลล์มะเร็งจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว
   ถ้าเราใส่โปรแกรมในจิตใต้สำนึกว่า เราเป็นคนอ่อนแอ ร่างกายไม่ส่งเอ็นไซม์ (คืออาหารเซลล์ ซึ่งผลิตขึ้นโดยขบวนการสกัดจากภายในร่างกายเองและจากสารอาหารที่รับประทานเป็นประจำทุกวัน ซึ่งทำหน้าทีเป็นตัวเร่งและกระตุ้นปฏิกิริยาเคมีที่จำเป็นต่อระบบการทำงานของร่างกาย โดยในปัจจุบันก็มีผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารเซลล์ลักษณะแบบนี้มากมาย ซึ่งมีราคาค่อยข้างแพงอยู่ แต่ถ้าหากเราเองรู้วิธีการเลือกรับประทานก็สามารถสร้างและรับเอ็นไซม์หรืออาหารเซลล์ที่เพียงพอโดยไม่ต้องเสียตังแพงๆ ซื้อได้เหมือนกัน) ต่อๆ ไปทำลายเซลล์มะเร็งก็ปล่อยให้มันโตขึ้นทุกวันๆ ตัวเซลล์มะเร็งจะดึงโปรตีนและกรดอะมิโนทั่วร่างกายไปใช้ ตัวเซลล์ฝ่ายดีเริ่มอ่อนแอ ก็จะไม่มีสารอาหารบำรุ่งเซลล์ฝ่ายดี เพื่อให้เซลล์ฝ่ายดีดักจับและทำลายเซลล์มะเร็ง เพราะฉะนั้น การกินเห็น 3 อย่าง (ห้ามผัดน้ำมัน) เพื่อขับสารพิษในร่างกายเป็นประจำ เพื่อป้องกันมะเร็งตั้งแต่ยังไม่เป็นดีกว่า เพราะโรคมะเร็งกว่าจะรู้ว่าเป็นส่วนใหญ่ก็สายจนเกิดแก้เสียแล้ว
เกร็ดความรู้เรื่องการเลือกกิน

ใบโหระพา
: กินวันละ 7 ยอด เป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยดูแล ปอด ตับ ม้าม ไต หัวใจ ให้แข็งแรง
ใบขี้เหล็ก
: ช่วยขับถ่าย และช่วยให้นอนหลับดีขึ้น
มันเทศ
: ลดความอ้วน ช่วยขับไขมัน ลดความชื้นของม้าม ซุปมันเทศลดอาการตัวบวม
ลูกมะเดื่อ
: บำรุงหัวใจ
ผักชี
: ต้านอนุมูลอิสระ
มะม่วงกวนตากแห้ง
: ต้มน้ำแล้วดื่มจะได้เอสโตรเจน (สารลดความ แก่”) สูงกว่ามะม่วงสุก 4 เท่า
น้ำมะพร้าว
: กินเฉพาะน้ำ มีเอสโตรเจน (มะพร้าวเผาไม่มีเอสโตรเจน)
หัวไชเท้า
: ล้างพิษในร่างกาย ขับไขมัน
เม็ดบัว
: บำรุงไต เพศ สมอง ต้มให้เปื่อยกินช่วยฟื้นไข้ และช่วยสตรีที่มีบุตรยาก
ยอดแค, ดอกแค
: บำรุงเลือด บำรุงปอด มีธาตุเหล็กสูง มีเบต้าแคโรทีนสูงมาก (เบต้าแคโรทีน คือ สารตั้งต้นของวิตามินเอ (โปรวิตามินเอ) มีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพและเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
เนื้อขนุน
: บำรุงหัวใจได้ดีมาก
แก้ช้ำใน
: เหล้าขาว + น้ำตาลทราบ หรือ น้ำใบบัวบก
ลูกเกด
: แก้ตาแพ้แสง บำรุงผิวพรรณ รักษาไมเกรน แก้ถุงน้ำดีข้น ลดความเครียด ลดโคเลสเตอรอล ช่วยดูแลเยื่อหุ้มหัวใจ ขยายหลอกเลือด คนที่มีนิสัยขี้หงุกหงิดช่วยได้
คึ่นฉ่าย
: ลดโคเลสเตอรอล ลดความดันโลหิตสูง บำรุงสมอง แก้อาการมึน งง (ควรกินสดๆ และต้องมั่นใจว่าสะอาดด้วย)
เห็ดสามอย่าง
: เห็ดหูหนูดำบำรุงไต เห็นหูหนูขาวบำรุงปอด เห็ดหอมลดโคเลสเตอรอล นำเห็ดสามอย่าง หรือเห็ดอย่างอื่นก็ได้มารวมกันแล้วปรุ่งเป็นอาหาร(ห้ามผัดน้ำมัน) จะช่วยสร้างกรดอะมิโน (เป็นส่วนประกอบที่จำเป็นสำหรับการเติบโตของกระดูก เอนไซม์ ฮอร์โมน และเนื้อเยื่อ)และช่วยขับสารพิษ
สูตรแก้หอบหืด
: ใช้ขิงเท่าหัวแม่มือผู้ป่วย หอมแดงน้ำหนักเท่าขิง กระเทียมน้ำหนักเท่าขิง เติมน้ำ 1 แก้ว ปั่นกรองเอาแต่น้ำ เติมน้ำผึ้ง 1 ช้อน น้ำมะนาว 4 ลูก ให้รสเปรี้ยวนำ ดื่มตอนตี 3 จะหายเร็วดื่มประมาณ 1 2 เดือนติดต่อกัน
การกินโปรตีน
: ต้องกินระหว่าง 13.00 น. 15.00 น. ถ้าเลย 15.00น. โปรตีนจะไปรวมตัวกับไขมันในร่างกาย เอาไปใช้งานไม่ได้ ทำให้อ้วน
 
เป็นฝ้าที่ใบหน้า
: แสดงว่าเลือดไหลเวียนไม่ดี ตับมีสารพิษ ต้องกินสูตรเห็ดสามอย่าง
หน่อไม้สด
: ช่วยขยายหลอดเลือด
หน่อไม้ดอง
: ช่วยบำรุงไต
พริกสีแดง
: ลดความอ้วน แต่ความเผ็ดเป็นอันตรายต่อหัวใจ
น้ำเต้าหู้
: กินน้ำเต้าหู้เดี่ยวๆ ตับจะเสื่อม ต้องกินคู่กับถั่วเขียว  เพื่อช่วยบำรุงตับ
หน้าท้องลาย
: ผู้หญิงหน้าท้องลาย ต้องกินน้ำมะพร้าว หรือทาน้ำมันมุขที่หน้าท้องหรือโลชันมะเฟือง ที่หน้าท้อง

       ถึงตอนนี้คงได้ทราบกันไปบ้างแล้วใช่ไหมครับว่า การเลือกรับประทานที่ถูกและไม่ถูกหลักสามารถส่งผลต่อระบบทำงานของร่างกายอย่างไร ถ้ามีความเขาใจและมองภาพสะเหมือนว่าร่างกายของเรานั้นเป็นเป็นกลไกการทำงานคล้ายเครื่องจักรโดยมีระบบการทำงานที่สัมพันธ์กัน ซึ่งอะไหล่แต่ละชิ้นล้วนแล้วแต่มีความสำคัญ เพราะฉะนั้น ถ้ามีอะไหล่ชิ้นไหนเสียหรือสึกหรอไป ก็จะส่งผลต่อระบบการทำงาน ร่างกายคนเราก็เหมือนกัน ยิ่งในยุกต์นี้สมัยนี้มลภาวะจากสิ่งแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นอากาศหรืออาหารเองก็มีการปนเปื้อน ไม่รวมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  บุหรี่ สารเสพติดที่สรรหาทดลองกันอยู่เสมอๆ และพฤติกรรมการใช้ชีวิตผิดเวลา ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นองค์ประกอบที่ทำให้ผู้คนเกิดความเจ็บป่วยกันมาก ด้วยความปรารถนาดีแด่เพื่อนมนุษย์ทุกๆ ท่าน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น